ระหว่างวันหยุดเทศกาลปีใหม่
2553-2554
ผมมาพักผ่อนที่จังหวัดสุโขทัย
ที่พักอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปไกลพอสมควร
อากาศเย็นสบายดีมาก สงบ
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าคนไทย
บังเอิญไปเห็นคนไทยกลุ่มหนึ่ง
2-3
คน
นั่งทำงานกับเอกสารกองโต
และีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคอยู่บนโต๊ะ
ก็เลยสอบถามเจ้าหน้าที่ดูว่ามีบริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยหรือ
ปรากฎว่ามี High
speed Internet อย่างดีไว้บริการฟรีด้วย
ก็เลยเอาคอมพิวเตอร์มาเขียนบทความเลยเพราะกำลังได้บรรยากาศดีมาก
มองเห็นทุ่งนา ลมพัดเย็น ๆ
เขียนไปได้สักพักก็เริ่มคิดได้ว่าอยากลองทำ
conference
ดู
ก็ปรากฎใช้ได้ไม่มีปัญหา
อะไรจะดีขนาดนี้
ชีวิตเราอาจไม่ต้องผูกติดอยู่กับจังหวัดใหญ่หรือในกรุงเทพ
ฯ อีกต่อไปก็ได้นี่ ผมอยู่ริมทุ่งนา
แต่ก็สามารถทำงานได้เหมือนกับอยู่กรุงเทพ
ฯ ด้วยระบบสือสารผ่านอินเตอร์เน็ต
(อินเตอร์เน็ตต่างจังหวัดหลุดน้อยกว่าในกรุงเทพ
ฯ แถวบ้านผมอีก)
นี่อาจเป็นสิ่งที่แสดงแนวโน้มของการใช้ชิวิตร่วมกับการทำงานที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าเวลาไหนเป็นเวลาไหนนั้นเป็นจริงได้แน่ด้วยอุปกรณ์การสื่อสารและระบบสื่อสารที่นับวันก็จะสะดวกมากขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
online meeting หรือ
web conferencing
ก็น่าจะมีบทบาทแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันของสังคมยุคใหม่ได้มากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าทุกอย่างดูดีอย่างนี้แล้วอะไรที่เป็นตัวขวางทางปรากฎการณ์นี้อยู่
หลายคนอาจจะบอกว่า ราคา
ซึ่งผมก็เห็นด้วย (เราถึงได้พยายามทำ
low cost web
conference ขึ้นมาไง)
ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ผมเคยเขียนเอาไว้เมื่อสองปีมาแล้วก็คือตัวสถาปัตยกรรมของ
Web Conference เอง
ซึ่งก็คือสถาปัตยกรรมแบบ
Client/Server
ที่อาศัย
TCP package
(ในตลาดมีระบบที่ไม่ใช้
TCP package เช่น
SIP
ให้บริการอยู่แล้ว)
ในสถาปัตยกรรมแบบ
Client / Server
จะอาศัยความสามารถในการประมวลของ
Server ค่อนข้างมาก
ข้อมูลภาพและเสียงจะถูกส่งจาก
client ไปยัง
Server
เพื่อส่งต่อไปยัง
client ตัวอื่น
ๆ บทบาทของ Server
จึงเปรียบเหมือนกับ
Mixer
ที่รวบเอาภาพและเสียงมาสร้างเป็น
video แล้วส่งออกไป
ถ้าหากมี client
จำนวนมากขึ้น
Server
ก็ต้องทำการสร้าง
video
มากขึ้นตามไปด้วย
จากรูปข้างล่างแสดงให้เห็นระบบที่มี
client
หรือผู้เข้าประชุม
3 ตำแหน่ง
เส้นสีเขียวแทนข้อมูลจาก
client ส่งไปยัง
server
เส้นสีน้ำเงินแทนข้อมูล
video ส่งจาก
server ไปยัง
client
เส้นสีน้ำเงินจะมากกว่าเพราะ
server
ต้องทำการสำเนาวิดีโอจาก
client
หนึ่งไปยังอีก
2 client
ที่เหลือเสมอ
จำนวนวิดีโอที่
server
ต้องทำสำเนาเป็น
N x
(N-1) เมื่อ
N
คือจำนวนผู้เข้าประชุม
ในตัวอย่างนี้จะมีสำเนาวิดีโอในระบบทั้งหมด
6
สำเนาด้วยกัน
(3 x
[3 – 1] = 6)
ทีนี้ลองนึกถึงระบบที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมากกว่านี้ซิครับจะเห็น
work
load ของ
server
อันมหาศาสทีเดียว
ที่นี้เราก็จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพของวิดีโอที่ได้จะขึ่นกับการประมวลผลของ
Server
อย่างมาก
(นอกเหนือจากระบบการ
encode
วิดีโอ)
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับ
server
หรือ
server
ไม่เก่งพอที่รับมือกับงานหนักได้ก็จะส่งผลต่อการประชุมแน่นอน
ที่กล่าวไปแล้วเป็นประเด็นเรื่องการประมวลผล
ประเด็นต่อไปคือการสือสารข้อมูลด้วย
TCP package
ซึ่งถ้ากล่าวตามตำราเรื่อง
Data Communication
แล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะการสื่อสารด้วย
TCP package
จะมีการรับประกันประสิทธิภาพการสื่อสาร
หากการสื่อสารไม่สมบูรณ์ก็จะมีกระบวนการ
re-transmit หรือ
การส่งข้อมูลมาใหม่จนกว่าข้อมูลจะสมบูรณ์
กระบวนการนี้แม้จะดีแต่ก็เหมาะกับการสื่อสารแบบอื่นไม่ใช่แบบ
real time เช่น
การรับ-ส่ง
ข้อมูลวิดีโอ เพราะว่าหากมีข้อมูลจำนวนมากขึ้น
โอกาสที่จะมีข้อมูลเสียหายก็มากขึ้น
และสิ่งที่ตามมาก็คือการ
re-transmit
ก็จะตามไปด้วย
ผลสุดท้ายก็มาลงที่การหน่วงเวลา
ซึ่งเราจะเห็นได้จากการกระตุกของภาพ
การ delay
ของภาพหรือเสียง
การ freeze
ของภาพ
การไม่สมดุลระหว่างภาพและเสียง
เป็นต้น ทางออกที่เหมาะสมก็คือการเปลี่ยนจากการใช้
TCP package ไปเป็น
UDP package
เพราะการใช้
UDP package
หมายถึงการมองข้ามการ
re-transmit
ไปซึ่งก็หมายถึงการลดการหน่วงเวลาไปด้วยเช่นกัน
แต่ว่าการใช้ UDP
package ก็นำมาซึ่งปัญหาใหม่เช่นกัน
(จะกล่าวต่อไป)
ท่านที่ต้องการมีระบบ
meeting online
ก็ต้องศึกษาและชั่งนำหนักกันให้ดีต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น